วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

สารสนเทศที่จำเป็นต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน


วัตถุประสงค์ของสารสนเทศมีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน     ซึ่งระบบสารสนเทศแบ่งตามลักษณะการใช้งานได้    6  ประเภท   คือ
1.  Expert System  (ES)
เป็นระบบที่สร้างขึ้นเพื่อกลุ่มผู้บริหารระดับสูง ระบบนี้มีนำมาใช้ในการทำงานเพียงไม่กี่องค์กร  ส่วนมากจะเป็นงานเฉพาะทาง  เช่น  ระบบนำร่องทางการบิน  ระบบตรวจสอบสารเคมี  ในส่วนของการศึกษาที่นำมาใช้คือ ระบบ ES สำหรับการเพิ่มหลักสูตรสถานศึกษาซึ่งจะช่วยแสดงแนวทางในการเพิ่มหลักสูตร หรือการรับบุคลากรเพิ่มที่จะช่วยให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าแก่องค์กรมากที่สุด แต่ไม่ค่อยนิยมนำมาใช้เนื่องจากเป็นระบบที่ทำการพัฒนาได้ยาก มีราคาสูง และผลที่ได้จากระบบนี้ยังไม่ถูกต้อง 100 %
2.  Exclusives Information System (EIS)
ระบบนี้คล้ายคลึงกับ ES  คือ ทำหน้าที่เสนอทางเลือกที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริหาร เป็นระบบที่ตัดสินใจแทน  โดยนำข้อมูลจากอดีตมาเป็นตัวชี้วัดในการตัดสินใจ  เช่น การประมาณการจำนวนนักเรียนนักศึกษาในปีถัดไป  เพื่อเตรียมหลักสูตรที่เหมาะสมล่วงหน้า  ในประเทศไทยสถาบันการศึกษาไม่นิยมนำมาใช้เนื่องจากมีราคาสูง  และผู้พัฒนาระบบต้องมีความชำนาญทั้งในเรื่องการดูแลระบบและกระบวนการทำงานของสถาบันการศึกษาด้วย  ส่วนมากระบบนี้นิยมมาใช้ในธุรกิจการลงทุน  เช่น การพยากรณ์หุ้น  มากกว่า 
3.  Decision Supporting System (DSS)
เป็นระบบที่เสนอทางเลือกให้แก่ผู้บริหาร ทำหน้าที่แตกต่างจาก EIS   เป็นการทำงานที่อาศัยการประมวลผลข้อมูลมากว่าการนำข้อมูลจากอดีตมาทำนายผลในอนาคต   โดยผู้บริหารต้องเป็นผู้ป้อนข้อมูล เข้าไปแล้วระบบจะประมวลผลออกมา   เช่น  ถ้าเพิ่มจำนวนบุคลากร  จะทำให้รับผู้เรียนได้จำนวนเท่าไรและต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง  ระบบนี้มีความสามารถด้อยกว่า  ES  และ EIS   แต่สามารถพัฒนาและราคาถูกกว่ามาก
4.  Management Information System (MIS)
เป็นระบบที่ช่วยจัดการในด้านข้อมูลข่าวสารภายในองค์กรเพื่อควบคุมการทำงานในองค์กรให้เป็นไปอย่างราบรื่น  เช่น  ระบบการติดต่อสื่อสารภายในองค์กร  ระบบการควบคุมการเข้าทำงานหรือการจ่ายเงินเดือนของบุคลากร  และระบบฐานข้อมูลของครูอาจารย์  ผู้เรียนหรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง  ระบบนี้เน้นการจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลสำคัญสำหรับผู้บริหารระดับกลางที่จะสรุปข้อมูลนำเสนอต่อผู้บริหารระดับสูงได้อย่างรวดเร็ว  แต่มีข้อเสียคืออาจไม่ตรงกับความต้องการขององค์กร
5.  Official Information System (OIS)
เป็นระบบที่สนับสนุนการปฏิบัติงานประจำวัน  เช่น การทำรายงาน การทำบัญชี การทำแบบฟอร์มต่างๆ ส่วนมากเป็น software  สำเร็จรูป  ได้แก่  
Microsoft Office   เช่น
-   Microsoft  Win  Word         ช่วยในการสร้างเอกสารต่างๆ
-   Microsoft  Excel                  ช่วยในการสร้างเอกสารเชิงบัญชี การคำนวณ
-   Microsoft PowerPoint          ช่วยในการสร้างเอกสาร Presentation
-   Microsoft Project                 ช่วยในการทำแผนงาน
CAI  (Computer  Assisted Instruction)  เป็นระบบที่ช่วยครูผู้สอนสอนง่ายขึ้น หรือช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง
6.  Transaction Processing System (TPS)
เป็นระบบที่นำข้อมูลดิบซึ่งยังไม่ผ่านการประมวลผลเข้าสู่ระบบ  เช่น  การกรอกข้อมูล  การลงทะเบียน  ระบบนี้มีความสำคัญซึ่งจะช่วยแยกแยะว่าข้อมูลนั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง   ก่อนที่จะนำไปประมวลผล

สารสนเทศมีความจำเป็นและสำคัญต่อองค์กร  คือ
1.  ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานขององค์กร  ช่วยในการเข้าถึงข้อมูลเบื้องต้นขององค์กรง่ายขึ้น  เช่น  ประวัติ  นโยบาย  วิสัยทัศน์  วัตถุประสงค์  เพื่อให้บุคลากรทราบเป้าหมาย/ข้อมูล จะได้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานให้บรรลุตามเป้าหมาย   และเป็นการประชาสัมพันธ์องค์กรแก่บุคคลภายนอกให้เป็นที่รับรู้มากขึ้น
2.  ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับบุคลากร    ได้แก่    ข้อมูลบุคลากรทุกฝ่าย     ทุกแผนก      มีรายละเอียดของประวัติส่วนตัว  ประวัติการทำงาน  ประวัติความรู้ความสามารถ  ผลงาน ความดีความชอบ  ค่าตอบแทนปัจจุบันและประวัติด้านสุขภาพ  เพื่อใช้ประกอบการบริหารงานบุคคล  เช่น การเลือกบุคลากรเข้าปฏิบัติงานในฝ่ายต่างๆ โดยใช้ข้อมูลประวัติการทำงาน ความรู้ความสามารถ เพื่อให้ได้บุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งงานนั้นๆ หรือใช้เพื่อพิจารณาความดีความชอบของบุคลากร
3.  ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงาน ช่วยในการการจัดเก็บข้อมูลภายในองค์กรอย่างเป็นระบบให้ง่ายต่อการเรียกใช้งาน  เช่น  การจัดทำเอกสาร  การคำนวณ  หรือการนำเสนอข้อมูลต่างๆ ในรูปแบบ PowerPoint   หรือการจัดเก็บข้อมูลเพื่อการบริหารงบประมาณ   การประมวลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
4.  ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลภายนอก เช่น ระบบอินเตอร์เน็ตที่ช่วยให้องค์กรรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร     ความเคลื่อนไหวจากภายนอกได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว     เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ในยุคปัจจุบันที่นำไปสู่การพัฒนาที่ทันต่อยุคสมัยมากขึ้น   เช่น   ผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม   นโยบายจากภาครัฐ   สภาวะ     เศรษฐกิจของโลก    
5.  ระบบสารสนเทศที่ช่วยในการเรียนการสอน   ได้แก่    สื่อประเภทต่างๆ    ที่ช่วยในการเรียนการสอน  เช่น  สื่อ CAI     คอมพิวเตอร์ช่วยสอน   ระบบการเรียนการสอนทางไกล  ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกแก่ครูผู้สอน  และเป็นแหล่งค้นคว้าแก่ผู้เรียนที่ต้องการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การนำนวัตกรรมมาใช้ในองค์กร

          ในยุคปัจจุบันสารสนเทศเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทุกหน่วยงาน  ทุกองค์กร ทั้งในส่วนการบริหารงานและในภาคส่วนของการปฏิบัติงาน  ไม่เว้นแม้แต่องค์กรที่จัดการด้านการศึกษาที่นำมาใช้ในการสร้างนวัตกรรมในด้านการเรียนการสอนให้เหมาะแก่การพัฒนาและก้าวทันโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างไร้ขีดจำกัด   เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์มากขึ้นองค์กรที่ทำงานด้านการจัดการศึกษาจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการคิดค้นและนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อพัฒนาระบบการบริหารงาน   การเรียนการสอน   เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป   เช่น  ชั้นเรียน   เวลาที่ต่างกัน  สิ่งเหล่านี้มีผลต่อประสิทธิภาพของวิธีการที่ผู้สอนนำไปใช้ในการเรียนการสอนทั้งสิ้น  ในกรณีที่ใช้วิธีการนั้นต่อไป นับว่าเป็นการใช้เทคโนโลยี   แต่หากว่าประสิทธิภาพลดลงก็มีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุง สิ่งใหม่ที่นำมาใช้หรือวิธีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพนี้เรียกว่านวัตกรรม (Innovation)
ลักษณะของนวัตกรรม   ประกอบด้วยลักษณะ ดังนี้
1. จะต้องเป็นการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่  (creative) และเป็นความคิดที่สามารถปฏิบัติได้ (Feasible ideas)
2. จะต้องสามารถนำไปใช้ได้ผลจริงจัง  (practical application)
3. มีการแพร่ออกไปสู่ชุมชน  (diffusion through)
นวัตกรรมทางการศึกษา (Educational Innovation) จึงหมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์เข้ามาใช้ในระบบการศึกษา เพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เกิดแรงจูงใจในการเรียน และช่วยให้ประหยัดเวลา เช่น การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การใช้วีดีทัศน์เชิงโต้ตอบ  (Interactive Video)   สื่อหลายมิติ (Hypermedia)  และอินเตอร์เน็ต เป็นต้น   สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูได้เสนอความคิดเกี่ยวกับนวัตกรรมการศึกษาด้วยหลักการ   4   อย่าง    คือ 
1.การจัดการเรียนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ  คือ  ให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ ให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยการกระทำ  ความรู้เกิดจากกิจกรรมการเรียนการสอนที่นักเรียนได้ทดลอง  ได้ปฏิบัติ  ได้สังเกตจากของจริง  ได้ทำงานร่วมกันได้ทำงานด้วยตนเองทำให้ได้ความรู้จริง   หรือมีประสบการณ์จริงจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในปัจจุบันมีความจำเป็นต้องใช้วิธีการใหม่ ๆ  ใช้สื่อการสอน (Instructional Aids) หรือ โสตทัศนวัสดุ  (Audiovisual Material)  เพราะนักเรียนมีมาก วิทยาการต่างๆ ก้าวหน้าและมีมากต้องใช้อุปกรณ์ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ให้มากที่สุด    การใช้สื่อการสอนช่วยทำให้ครูลดบทบาทแต่กระตุ้นให้นักเรียนสนุกสนานในการเรียนด้วยกิจกรรมนักเรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ไม่ใช่ครูเป็นผู้บงการ
2.การนำและการผลิตสื่อการสอนมาใช้ในห้องเรียน   เป็นนวัตกรรมการเรียนการสอนซึ่งช่วยพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ความสามารถได้พัฒนาความแตกต่างของบุคคล  และช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ  คือ   ได้เรียนเต็มกำลังความสามารถและเกิดความพึงพอใจ และช่วยให้การเรียนการสอนนั้นได้ประสิทธิผล คือได้ผลตามความมุ่งหมาย 
3.การบริหารอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ   คือ  นวัตกรรมการศึกษาได้แก่การนำแนวความคิดและวิธีการใหม่ๆ  มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนางานด้านการศึกษาในโรงเรียน    เช่น   พัฒนาบุคลากรทุกฝ่ายให้มีความรู้ความสามารถช่วยพัฒนาการจัดระบบการสอนช่วยลดปัญหาที่เกิดจากกิจกรรมการเรียนการสอน   การบริหารอย่างมีระบบจะต้องกำหนดภาระหน้าที่  นโยบายให้ชัดเจน  มีการเตรียมแผนงาน/โครงการ   มีการบริหารงานตามจุดประสงค์   มีการติดตามประเมินผลงาน  และมีการปรับปรุงพัฒนางาน โดยสมาชิกของกลุ่มอยู่ตลอดเวลา
4.การวัดและประเมินผลที่เที่ยงตรงและเชื่อถือได้เป็นนวัตกรรมการศึกษา การวัดและประเมินผล เป็นศาสตร์สาขาหนึ่งมีกระบวนการและวิธีการที่ได้พิสูจน์แล้วว่ากระทำอย่างใด จึงจะมีความเที่ยงตรงและเชื่อถือได้ สามารถวัดและประเมินสิ่งที่ต้องการได้อย่างเที่ยงตรงและเชื่อถือได้
นวัตกรรมทางการศึกษาในปัจจุบันที่มักนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน  คือ
e-Learning เป็นคำที่ใช้เรียกเทคโนโลยีการศึกษาแบบใหม่ที่ยังไม่มีชื่อภาษาไทยที่แน่ชัด และมีผู้นิยามความหมายไว้หลายประการ ผศ.ดร.ถนอมพร  เลาหจรัสแสง  ให้คำนิยาม  E-Learning หรือ Electronic Learning  ว่าหมายถึง  "การเรียนผ่านทางสื่ออิเลคทรอนิกส์ซึ่งใช้การนำเสนอเนื้อหาทางคอมพิวเตอร์ในรูปของสื่อมัลติมีเดีย  ได้แก่  ข้อความอิเลคทรอนิกส์  ภาพนิ่ง  ภาพกราฟิก  วิดีโอ  ภาพเคลื่อนไหว  ภาพสามมิติ
การศึกษาทางไกล (Distance Education) หมายถึง ระบบการศึกษาที่ผู้เรียนและผู้สอนอยู่ไกลกัน แต่สามารถทำให้เกิดการเรียนรู้ได้โดยอาศัยสื่อการสอนในลักษณะของสื่อประสม  กล่าวคือ  การใช้สื่อต่างๆ ร่วมกัน  เช่น  ตำราเรียน  เทปเสียง  แผนภูมิ  คอมพิวเตอร์  หรือโดยการใช้อุปกรณ์ทาง โทรคมนาคม และสื่อมวลชนประเภทวิทยุและโทรทัศน์เข้ามาช่วยในการแพร่กระจาย การศึกษาไปยังผู้ที่ปรารถนาจะเรียนรู้ได้อย่างกว้างขวางทั่วทุกท้องถิ่น
Asynchronous Learning  คือ  รูปแบบการเรียนการสอนที่ผู้สอน และผู้เรียนไม่จำเป็นต้องพบกันตามเวลาในตาราง ที่กำหนดไว้ (Synchronous Learning) แต่ผู้สอนและผู้เรียนสามารถติดต่อกันได้ตลอดเวลา โดยใช้เครื่องมือสื่อ สารต่าง ๆ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา และสถานที่ ผู้เรียนสามารถเรียนที่ไหน เวลาใดก็ได้ (Anywhere Anytime) เป็นการเรียนที่อาศัยวิธีการ หรือเครื่องมือต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้เรียน สามารถเรียนรู้ในลักษณะที่ปฏิสัมพันธ์ และมีส่วนร่วมช่วยเหลือกันระหว่างผู้เรียน โดยใช้แหล่งข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ทั้งใกล้และไกล ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้าหรือเข้าถึงข้อมูลความรู้เหล่านั้นจากที่ไหนและเวลาใดก็ได้ ตามความต้องการและความสะดวกของผู้เรียนเองซึ่ง Asynchronous Learning เป็นการใช้การสื่อสารระยะไกล (Telecommunication) เพื่อช่วยให้การเรียนรู้มีลักษณะใกล้เคียงกับการเรียนในระบบห้องเรียนหรือการเรียนการสอนที่ผู้สอนกับผู้เรียนได้พบหน้ากัน  (Face - to - Face Instruction)
โรงเรียนสันถวไมตรีศึกษาซึ่งเป็นหน่วยงานของผู้รายงานได้ตระหนักและเห็นความสำคัญในการนำนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการและพัฒนาการเรียนการสอน   เนื่องจากมีขีดจำกัดในหลายๆ  ด้านโดยเฉพาะเรื่องของภาษาและวัฒนธรรมอันเนื่องมาจากเป็นโรงเรียนที่จัดการศึกษาสำหรับเด็กต่างด้าวจึงจำเป็นต้องมีสื่อที่ช่วยในการสื่อสาร  เพื่อให้เด็กเห็นภาพและเข้าใจในบทเรียนมากขึ้น  จึงได้นำนวัตกรรมทางการศึกษามาใช้ดังนี้   
1.นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร  คือการใช้วิธีการใหม่ๆ  การพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น  และตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขึ้น  เนื่องจากหลักสูตรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคมของประเทศและของโลก  นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร  ได้แก่  การพัฒนาหลักสูตรบูรณาการ  หลักสูตรรายบุคคล  หลักสูตรกิจกรรมและประสบการณ์   และหลักสูตรท้องถิ่น
2.นวัตกรรมการเรียนการสอน   คือการใช้วิธีระบบในการปรับปรุงและคิดค้นพัฒนาวิธีสอนแบบใหม่ๆ  ที่สามารถตอบสนองการเรียนรายบุคคล  การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง  การเรียนแบบมีส่วนร่วม  การเรียนรู้แบบแก้ปัญหา  การพัฒนาวิธีสอนจำเป็นต้องอาศัยวิธีการและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาจัดการและสนับสนุนการเรียนการสอน
3.นวัตกรรมสื่อการสอน    เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์    คอมพิวเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยีโทรคมนาคม     ทำให้ครูพยายามนำศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการผลิตสื่อการเรียนการสอนใหม่ๆ  จำนวนมากมาย   ทั้งการเรียนด้วยตนเอง  การเรียนเป็นกลุ่ม และการเรียนแบบมวลชน  ตลอดจนสื่อที่ใช้เพื่อสนับสนุนการฝึกอบรมผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ตลอดจนการให้นักเรียนค้นคว้าจากอินเตอร์เน็ตแทนหนังสือที่โรงเรียนไม่สามารถจัดหาให้นักเรียนค้นคว้าได้อย่างเพียงพอ
4.นวัตกรรมทางด้านการประเมินผล  เป็นนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการวัดผลและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ  และทำได้อย่างรวดเร็ว  รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา  การวิจัยสถาบัน ด้วยการประยุกต์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาสนับสนุนการวัดผล   ประเมินผลของสถานศึกษา  ครู  อาจารย์
5.นวัตกรรมการบริหารจัดการ  เป็นการใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ   เพื่อการตัดสินใจของผู้บริหารการศึกษา   ให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์  ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก นวัตกรรมการศึกษาที่นำมาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดการฐานข้อมูลในหน่วยงานสถานศึกษา
           ดังนั้น   จะเห็นว่านวัตกรรมมีบทบาทและมีความสำคัญมากในระบบการศึกษาในปัจจุบัน  เพราะถือว่าเป็นสื่อกลางระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน  เป็นวิธีการใหม่ๆ ที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้  เป็นแหล่งรวบรวมและประมวลผลของข้อมูลงานด้านต่างๆ   และช่วยให้ผู้บริหารเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วก่อให้เกิดการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องแม่นยำ    และลดระยะเวลาการทำงานของแต่ละฝ่ายให้น้อยลงได้